การฉีดยาคุมกำเนิดเป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีความสะดวก มีประสิทธิภาพสูง และไม่ต้องรับประทานยาทุกวัน โดยยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่ให้บริการมี 2 ชนิดหลัก ๆ คือ ชนิด 1 เดือน และชนิด 3 เดือน
บริการนี้เหมาะสำหรับ:
- ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงและสะดวก
- ผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดทุกวัน
- ผู้ที่ให้นมบุตร (สามารถใช้ยาคุมชนิดฉีดได้)
- ผู้ที่ต้องการเว้นระยะห่างจากการมีบุตร
1. ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดทุก 1 เดือน (Combined Injectable Contraceptive)
- ส่วนประกอบ: มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนผสมกัน
- กลไกการออกฤทธิ์:
- ยับยั้งการตกไข่
- ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียวขึ้น อสุจิผ่านเข้าไปได้ยาก
- ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง ไม่เหมาะกับการฝังตัวของตัวอ่อน
- ประสิทธิภาพ: มีประสิทธิภาพสูงในการคุมกำเนิด (มากกว่า 99%) หากฉีดตรงตามกำหนด
- ข้อดี:
- ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ หรืออาจมาน้อยลง
- สามารถคุมกำเนิดได้ทันทีหากฉีดภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน
- ลดอาการปวดประจำเดือนและลดความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
- ข้อเสียที่อาจพบ:
- อาจมีอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เจ็บคัดเต้านม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น ผู้ที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตัน โรคหัวใจและหลอดเลือดบางชนิด
- ความถี่ในการฉีด: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 1 เดือน (ทุก 28-30 วัน)
2. ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดทุก 3 เดือน (Progestin-Only Injectable Contraceptive)
- ส่วนประกอบ: มีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
- กลไกการออกฤทธิ์:
- ยับยั้งการตกไข่
- ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียวขึ้นมาก อสุจิผ่านเข้าไปได้ยาก
- ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลงมาก
- ประสิทธิภาพ: มีประสิทธิภาพสูงมากในการคุมกำเนิด (มากกว่า 99%) หากฉีดตรงตามกำหนด
- ข้อดี:
- สะดวก ไม่ต้องฉีดบ่อย
- สามารถใช้ในผู้ที่ให้นมบุตรได้ เนื่องจากไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน และลดความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
- ข้อเสียที่อาจพบ:
- อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มีประจำเดือนเลย (เป็นเรื่องปกติ)
- อาจมีอาการข้างเคียง เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ปวดศีรษะ อารมณ์แปรปรวน
- อาจส่งผลต่อความหนาแน่นของกระดูกในระยะยาว (แต่เมื่อหยุดใช้ยา ความหนาแน่นของกระดูกจะกลับมาเป็นปกติ)
- เมื่อหยุดฉีด อาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะกลับมามีบุตรได้
- ความถี่ในการฉีด: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 3 เดือน (ทุก 12 สัปดาห์)
ขั้นตอนการให้บริการ:
- การซักประวัติและตรวจสุขภาพ: แพทย์จะซักประวัติสุขภาพ ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการใช้ยา และประวัติการแพ้ยา เพื่อประเมินว่ายาคุมชนิดฉีดเหมาะสมกับคุณหรือไม่
- การให้คำปรึกษา: แพทย์จะอธิบายเกี่ยวกับชนิดของยาคุมกำเนิดแต่ละชนิด กลไกการออกฤทธิ์ ประสิทธิภาพ ข้อดี ข้อเสีย ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และตอบข้อสงสัย เพื่อให้คุณเลือกวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมที่สุด
- การฉีดยาคุมกำเนิด: พยาบาลจะทำการฉีดยาคุมกำเนิดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนหรือสะโพก
- การให้คำแนะนำหลังฉีด: คุณจะได้รับคำแนะนำในการดูแลตนเองหลังฉีด และกำหนดวันนัดหมายเพื่อฉีดเข็มต่อไป
ข้อควรทราบก่อนฉีดยาคุมกำเนิด:
- ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน และประวัติการแพ้ยา
- ควรมาฉีดวัคซีนตามนัดหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงสุด
- ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยหากมีความเสี่ยง